AKUDAMADRIVE อนิเมชั่นแนวแอ็คชั่นไซไฟไซเบอร์พังค์ในญี่ปุ่นยุคเสื่อมโทรม

อนิเมชั่นแนว ACTION SCIFI นั้นมีให้เราเห็นเป็นจำนวนมากเนื่องจากในช่วงระยะเวลา 4-5 ปีก่อนหน้านี้อนิเมชั่นแนวหุ่นยนต์รบนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามแนวอนิเมชั่นจากญี่ปุ่นที่เรามักจะไม่ค่อยได้เห็นก็คือแนวไซเบอร์พังค์ที่จะเล่าถึงเทคโนโลยีในยุคเสื่อมโทรมที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส หากคุณเป็นคนที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับไซเบอร์พังค์เราขอแนะนำให้รู้จักกับอนิเมชั่นเรื่อง AKUDAMADRIVE มันคืออนิเมชั่นแนวแอ็คชั่นไซไฟไซเบอร์พังค์ที่จะพาเราไปสัมผัสกับประเทศญี่ปุ่นในยุคเสื่อมโทรมท่ามกลางเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าว่าจะเป็นอย่างไร โดยอนิเมชั่นเรื่องนี้มีทั้งหมด 12 ตอนด้วยกัน ในประเทศไทยสามารถรับชมได้ผ่านช่อง MUSE THAILAND บน YOUTUBE

<< อ่ า น ต่ อ >>

เรื่องราวในอนิเมชั่นเรื่อง AKUDAMADRIVE

AKUDAMA DRIVE เป็นอนิเมชั่นที่จะเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของประเทศญี่ปุ่นที่ได้มีการทำสงครามกันระหว่างฝั่งคันไซและฝั่งคันโต มันทำให้โลกถูกแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายและต่างคนต่างก็ทำสงครามกันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งสุดท้ายฝั่งคันไซก็ได้ให้แพ้และต้องมาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของฝั่งคันโต มันทำให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วสวนทางกับสภาพความเป็นอยู่ภายในเมืองที่เต็มไปด้วยการก่อเหตุอาชญากรรมและความปลอดภัยนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากยิ่งขึ้นในสังคม มีหลอดอาชญากรถือกำเนิดขึ้นและพวกเขาก็ถูกเรียกว่าอาคุดามะ แม้ว่าโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแต่ด้วยสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมและความบิดเบี้ยว เหล่าอาชญากรอาคุดามะทั้งหลายนั้นต่างก็พยายามที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง สุดท้ายแล้วเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต้องไปติดตามรับชมกันต่อในอนิเมชั่น

ความรู้สึกหลังรับชมอนิเมชั่นเรื่อง AKUDAMA DRIVE

AKUDAMA DRIVE เป็นอนิเมชั่นที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวเนื่องจากญี่ปุ่นไม่ค่อยจะได้เล่าเรื่องราวแนวใส่ผ้าพันเท่าที่ควร โดยอนิเมชั่นเรื่องนี้จะพาเราไปสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลังสงครามท่ามกลางการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวหน้าแต่สภาพสังคมกับเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด เรื่องราวจะค่อยๆ พาเราไปทำความรู้จักกับเหล่าอาชญากรว่ามีใครบ้างและพวกเขามีความสามารถอย่างไร หลังจากนั้นเราก็จะได้รับชมเรื่องราวที่ทั้งสนุกและตื่นเต้นกันแบบเต็มๆ ฉากต่อสู้ในอนิเมชั่นเรื่องนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างเกินจริงแต่ก็สร้างความวินาศสันตะโรได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ตัวละครแต่ละตัวนั้นล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์และความน่าสนใจเป็นของตัวเองอย่างมากจนทำให้เราสามารถจดจำได้ทุกคน เรื่องราวในแต่ละตอนนั้นจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นและมีการแฝงปรัชญาเข้ามาภายในเรื่องที่เล่าด้วยแต่ก็ไม่ได้สลับซับซ้อนจนยากจะเกิดเข้าถึงแต่อย่างใด